รูเล็ต ถือเป็นเกมคาสิโนยอดนิยมที่มีผู้เล่นทั่วโลกให้ความสนใจ แต่ทราบหรือไม่ว่า รูเล็ตนั้นมีความแตกต่างอยู่ 2 รูปแบบหลักๆ นั่นก็คือ รูเล็ตอเมริกัน และ รูเล็ตยุโรป ซึ่งผู้เล่นหลายคนต่างสงสัยว่า รูเล็ตแบบไหนที่ให้ประโยชน์กับผู้เล่นมากกว่ากัน เมื่อคุณได้ทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของรูเล็ตทั้งสองประเภท คุณก็จะมั่นใจได้ว่าคุณนั่งอยู่ที่โต๊ะ (เสมือน) ที่ถูกต้องแล้ว เรามาหมุนวงล้อเพื่อไขความลับของรูเล็ตแต่ละประเภทกันเลย!
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักพนันหน้าใหม่หรือผู้เล่นตัวยงที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชค คุณคงเคยได้ยินชื่อของ “รูเล็ต” มาบ้างไม่มากก็น้อย รูเล็ตเป็นหนึ่งในเกมคาสิโนที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมีรูปแบบการเล่นที่เข้าใจง่าย แต่ก็มีความท้าทายและตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้เกมไพ่หรือสล็อตแมชชีน
เมื่อเอ่ยถึงรูเล็ต หลายคนอาจนึกถึงภาพของวงล้อขนาดใหญ่ที่หมุนวนไปมาท่ามกลางเสียงลูกบอลกระทบกับช่องตัวเลข และเสียงเฮของผู้เล่นที่ลุ้นระทึกรอผลการหมุน แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ รูเล็ตนั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 2 ประเภท ที่มีกฎกติกาและรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกัน นั่นคือ รูเล็ตอเมริกัน (American Roulette) และรูเล็ตยุโรป (European Roulette)
ความแตกต่างหลักๆ ของรูเล็ตทั้งสองอยู่ที่การออกแบบวงล้อ โดยวงล้อรูเล็ตยุโรปนั้นจะมี 37 ช่อง ประกอบด้วยตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 36 ในขณะที่วงล้อรูเล็ตอเมริกันจะมีช่องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่อง กลายเป็น 38 ช่อง โดยช่องที่เพิ่มเข้ามาคือช่องเลข 00 (ศูนย์คู่) ซึ่งอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนทั่วไป แต่มันส่งผลอย่างมากต่อโอกาสในการชนะและความได้เปรียบของเจ้ามือ
กฎกติกาการเล่นรูเล็ตนั้นไม่ซับซ้อน คุณสามารถเรียนรู้วิธีเล่นรูเล็ตได้ในเวลาไม่นาน แม้ว่าอาจต้องใช้เวลาซักระยะในการทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับเกมอย่างถ่องแท้ โดยเป้าหมายหลักของเกมคือการทายผลว่า ลูกบอลจะไปหยุดลงที่ช่องตัวเลขใดบนวงล้อ
การเดิมพันรูเล็ตนั้น ผู้เล่นจะใช้ชิปวางเดิมพันบนตัวเลข (หรือกลุ่มของตัวเลข) ที่ต้องการจะเดิมพัน โดยจะมีอัตราการจ่ายเงินที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบและโอกาสที่จะถูกรางวัล เริ่มตั้งแต่ 1 ต่อ 1 ไปจนถึง 35 ต่อ 1
นอกจากนี้ รูปแบบการเดิมพันยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ การเดิมพันตัวเลขภายใน (Inside Bets) ซึ่งเป็นการวางเดิมพันบนตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งหรือกลุ่มตัวเลขที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเดิมพันเลขตรง (Straight Up) การเดิมพัน 2 เลข (Split) การเดิมพัน 3 เลข (Street) เป็นต้น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือ การเดิมพันตัวเลขภายนอก (Outside Bets) ซึ่งเป็นการวางเดิมพันแบบกลุ่มใหญ่ที่ครอบคลุมตัวเลขหลายตัว เช่น การเดิมพันสี (Red/Black) การเดิมพันคู่/คี่ (Even/Odd) การเดิมพันโซนตัวเลข (1st 12, 2nd 12 หรือ 3rd 12) เป็นต้น
เนื่องจากวงล้อรูเล็ตอเมริกันมีช่องเพิ่มเติมเข้ามา คือช่อง 00 จึงทำให้กฎกติกาบางอย่างของรูเล็ตสองรูปแบบนี้แตกต่างกันไปด้วย
ประการแรก คือ ในรูเล็ตอเมริกัน จะมีการเดิมพันแบบพิเศษที่เรียกว่า “Five Number Bet” หรือ การเดิมพัน 5 ตัวเลข ซึ่งจะเป็นการเดิมพันแบบรวมช่องเลข 1, 2, 3, 0 และ 00 เข้าด้วยกัน โดยมีอัตราการจ่ายเงินรางวัลสูงถึง 6 ต่อ 1 แต่ในทางกลับกัน ก็เป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงมากเช่นกัน เพราะหากไม่ถูกรางวัล ก็เท่ากับว่าเสียเงินเดิมพันไป 5 เท่า และด้วยอัตราเปรียบเทียบของบ่อน (House Edge) ที่สูงถึง 7.89% จึงถือเป็นการเดิมพันที่มีความได้เปรียบต่ำมากสำหรับผู้เล่น
ประการที่สอง คือ ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดของรูเล็ตอเมริกันและยุโรป นั่นคือ อัตราเปรียบเทียบของบ่อน (House Edge) ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้เล่นควรให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ในรูเล็ตอเมริกัน อัตราเปรียบเทียบของบ่อนอยู่ที่ 5.26% ในขณะที่รูเล็ตยุโรปมีอัตราอยู่ที่ 2.70% ซึ่งเกือบจะเป็น 2 เท่าของรูเล็ตยุโรปเลยทีเดียว
กล่าวคือ ในรูเล็ตอเมริกัน โอกาสที่ผู้เล่นจะชนะนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับรูเล็ตยุโรป เนื่องจากการเพิ่มช่องเลข 00 เข้ามา ถึงแม้ว่าการจ่ายเงินรางวัลและอัตราต่อรองของการเดิมพันแต่ละแบบในรูเล็ตทั้งสองจะเหมือนกันทุกประการก็ตาม
สิ่งนี้อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันส่งผลอย่างมากในระยะยาว หากผู้เล่นเดิมพันอย่างต่อเนื่องในรูเล็ตอเมริกัน เจ้ามือจะมีความได้เปรียบสูงกว่า มีโอกาสกอบโกยเงินจากผู้เล่นได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เล่นต้องพิจารณาให้ดี ก่อนตัดสินใจเลือกเล่นรูเล็ตสองแบบนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสชนะและรักษาผลประโยชน์ของตนเองในระยะยาว
หากคุณเป็นมือใหม่ในการเล่นรูเล็ต ก็อย่าพึ่งท้อใจไป การทำความเข้าใจในหลักการเล่นพื้นฐานนั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องศึกษากฎกติกา วิเคราะห์ความน่าจะเป็น ตั้งงบประมาณในการเดิมพันอย่างชาญฉลาด และที่สำคัญที่สุดคือ รู้จักควบคุมอารมณ์ เล่นอย่างมีวินัย ไม่ตกเป็นทาสของการพนัน ถ้าทำได้ตามนี้ คุณก็จะสนุกไปกับรูเล็ตได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ยังมีโอกาสลุ้นรับเงินรางวัลอย่างคุ้มค่าอีกด้วย
ความแตกต่างสำคัญประการแรกเมื่อเปรียบเทียบรูเล็ตยุโรปและรูเล็ตอเมริกัน คือ การจัดเรียงตัวเลขบนวงล้อ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า วงล้อรูเล็ตยุโรปมีช่องทั้งหมด 37 ช่อง ประกอบด้วยตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 36 ในขณะที่วงล้อรูเล็ตอเมริกันมีช่องเพิ่มขึ้นอีก 1 ช่อง คือ ช่อง 00 ทำให้มีทั้งหมด 38 ช่อง
แต่ที่น่าสนใจคือ การเพิ่มช่อง 00 ในรูเล็ตอเมริกันนั้น ไม่ใช่แค่การแทรกช่องเข้าไปในลำดับตัวเลขของรูเล็ตยุโรปแบบสุ่ม หากแต่มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเลขทุกตัวบนวงล้อใหม่ทั้งหมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การจัดเรียงตัวเลขในวงล้อรูเล็ตอเมริกันนั้นแตกต่างไปจากวงล้อรูเล็ตยุโรปอย่างสิ้นเชิง
การจัดเรียงตัวเลขบนวงล้อรูเล็ตนั้นไม่ได้เป็นไปแบบสุ่มหรือไร้แบบแผน แต่มีการคำนวณทางคณิตศาสตร์และความน่าจะเป็นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความสมดุลและความยุติธรรมแก่ผู้เล่นมากที่สุด โดยตัวเลขแดงและดำจะถูกวางสลับกันไปมา ตัวเลขคู่และคี่ก็ถูกจัดเรียงกระจายตัว ไม่มีตัวเลขใดที่ติดกันเกิน 2 ตัว เป็นต้น
แม้ว่าการจัดเรียงตัวเลขที่ต่างกันของรูเล็ตสองแบบนี้จะไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลไกการเล่น เพราะไม่ว่าลูกบอลจะไปหยุดที่ช่องไหน อัตราการจ่ายเงินรางวัลก็ยังเป็นอัตราเดียวกัน แต่ในแง่ของความรู้สึก อาจทำให้ผู้เล่นที่คุ้นเคยกับการจัดเรียงตัวเลขแบบใดแบบหนึ่งรู้สึกสับสนได้บ้าง โดยเฉพาะนักเล่นที่ใช้เทคนิคการจำแนวของตัวเลข
ดังนั้น หากคุณเป็นผู้เล่นที่ชื่นชอบรูเล็ตยุโรป แล้วต้องไปเล่นรูเล็ตอเมริกันในคาสิโนที่ลาสเวกัสเป็นครั้งแรก การจัดเรียงตัวเลขที่เปลี่ยนไปอาจทำให้คุณต้องใช้เวลาปรับตัวสักพัก แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่โตนัก ถ้าเข้าใจหลักการพื้นฐานของเกมเป็นอย่างดี
ในประเด็นเรื่องอัตราเปรียบเทียบของบ่อนหรือ House Edge นั้น นับว่าเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างรูเล็ตอเมริกันและรูเล็ตยุโรป ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อโอกาสในการชนะของผู้เล่นในระยะยาว
อัตราเปรียบเทียบของบ่อนในรูเล็ตอเมริกันนั้นสูงถึง 5.26% เกือบจะเป็นสองเท่าของรูเล็ตยุโรปที่มีอัตราเพียง 2.70% เหตุผลหลักก็คือการมีช่องเลข 00 เพิ่มเข้ามานั่นเอง ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ผู้เล่นเสียเงินเดิมพันมากขึ้นนั่นเอง
กล่าวคือ สำหรับการเดิมพันแบบ 1:1 เช่น การเดิมพันสีแดง/ดำ การเดิมพันคู่/คี่ หรือการเดิมพัน 1-18 / 19-36 ในรูเล็ตยุโรป ผู้เล่นจะมีโอกาสชนะ 48.6% (18 ช่องจาก 37 ช่อง) และแพ้ 51.4% (19 ช่องจาก 37 ช่อง รวมกับช่อง 0)
แต่ในรูเล็ตอเมริกัน ด้วยการมีช่อง 00 เพิ่มเติม ทำให้โอกาสในการชนะของผู้เล่นลดลงเหลือ 47.4% (18 ช่องจาก 38 ช่อง) และโอกาสแพ้เพิ่มขึ้นเป็น 52.6% (20 ช่องจาก 38 ช่อง รวมกับช่อง 0 และ 00)
ความแตกต่างเพียง 2.56% นี้ดูเหมือนจะเป็นตัวเลขที่ไม่มาก แต่มันจะส่งผลในระยะยาว โดยเฉพาะกับผู้ที่เล่นเป็นประจำหรือทุ่มเงินเดิมพันจำนวนมาก ลองคิดง่ายๆ ว่า ในการเดิมพัน 100 ครั้ง หากเล่นรูเล็ตอเมริกัน ในทางสถิติแล้วคุณจะแพ้มากกว่าชนะถึง 5 ครั้ง แต่หากเล่นรูเล็ตยุโรป คุณจะแพ้มากกว่าชนะเพียง 3 ครั้ง
แน่นอนว่า รูเล็ตเป็นเกมที่อาศัยความน่าจะเป็นและโชคเป็นหลัก ยากที่จะคาดเดาผลลัพธ์ในระยะสั้นได้ แต่เมื่อเล่นซ้ำไปเรื่อยๆ ความได้เปรียบนี้จะเพิ่มโอกาสให้คุณมีเงินทุนหมดเร็วขึ้นนั่นเอง
อีกสองกฎที่แตกต่างสำคัญ ซึ่งมีเฉพาะในรูเล็ตยุโรปเท่านั้น คือ กฎ En Prison และ La Partage ซึ่งทั้งสองกฎนี้จะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่ลูกบอลไปหยุดที่ช่องเลข 0
กฎ En Prison เป็นกฎที่ช่วยลดความเสี่ยงให้ผู้เล่น โดยเมื่อลูกบอลไปหยุดที่เลข 0 และคุณเดิมพันแบบ 1:1 ไม่ว่าจะเป็นการเดิมพันสีแดง/ดำ คู่/คี่ หรือสูง/ต่ำ แทนที่คุณจะแพ้เดิมพันไปเลย เงินเดิมพันของคุณจะถูกกักไว้ก่อน (imprisoned) และจะได้รับการตัดสินในรอบถัดไป
หากในรอบถัดไป คุณเดิมพันถูก (เช่น หากคุณเดิมพันสีแดงในรอบที่แล้ว และรอบนี้ลูกบอลไปหยุดที่ช่องสีแดง) คุณก็จะได้เงินเดิมพันคืน (แต่ไม่ได้กำไรเพิ่ม) แต่หากเดิมพันผิด คุณก็จะเสียเงินเดิมพันที่ถูกกักเอาไว้นั่นเอง
ส่วนกฎ La Partage หรือ “Surrender” จะคล้ายกับกฎ En Prison แต่แทนที่คุณจะต้องรอเดิมพันในรอบถัดไป กฎนี้จะให้คุณเสียเงินเดิมพันไปแค่ครึ่งเดียวทันที ในกรณีที่ลูกบอลหยุดที่ช่อง 0 และคุณเดิมพันเสมอ 1:1
ตัวอย่างเช่น หากคุณเดิมพัน 100 บาทกับสีแดง แล้วลูกบอลหยุดที่เลข 0 คุณจะได้เงิน 50 บาท กลับมาทันที จบเกมโดยไม่ต้องรอเดิมพันรอบถัดไป
กฎ En Prison และ La Partage ถือเป็นข้อได้เปรียบของผู้เล่นในรูเล็ตยุโรปอย่างมาก เพราะมันจะช่วยลดอัตราเปรียบเทียบของบ่อน (House Edge) ให้เหลือเพียง 1.35% เท่านั้น ส่งผลให้ผู้เล่นมีโอกาสชนะมากขึ้นนั่นเอง แต่กฎเหล่านี้ไม่ได้มีบังคับใช้กับทุกคาสิโน ดังนั้น ผู้เล่นอาจต้องสอบถามกับเจ้ามือหรืออ่านคู่มือการเล่นให้แน่ใจก่อน
Call Bets หรือการเดิมพันแบบขานเลข เป็นการเดิมพันรูปแบบหนึ่งที่มีเฉพาะในรูเล็ตยุโรปเท่านั้น คุณสมบัติพิเศษของการเดิมพันประเภทนี้ ก็คือ ผู้เล่นจะไม่ต้องวางชิปลงไปบนโต๊ะพนันด้วยตัวเองโดยตรง แต่จะสามารถบอกหรือขานชื่อของการเดิมพันที่ต้องการให้เจ้ามือได้ยินแทน จากนั้นเจ้ามือจะเป็นคนวางชิปลงไปบนตารางเดิมพันให้เอง
ข้อดีของการเดิมพัน Call Bets คือ ผู้เล่นจะได้ครอบคลุมตัวเลขในสัดส่วนถึง 60% ของวงล้อในคราวเดียว แต่ก็จะต้องใช้เงินเดิมพันจำนวนมากพอสมควร เพราะการเดิมพันแบบ Voisins du zero เพียงแบบเดียวก็จะต้องวางชิปเดิมพันทั้งหมด 9 ชิปแล้ว
อย่างไรก็ตาม Call Bets ถือเป็นการเดิมพันที่ต้องใช้ทักษะการจำแนวของตัวเลขบนวงล้อ รวมถึงการแบ่งสัดส่วนเงินเดิมพันให้เหมาะสม จึงเป็นการเดิมพันที่เหมาะกับผู้เล่นที่มีประสบการณ์พอสมควร ส่วนผู้เล่นมือใหม่อาจเริ่มต้นจากการเดิมพันอื่นๆ ที่ง่ายกว่า แล้วค่อยมาลอง Call Bets ทีหลังก็ได้
เรามาต่อกันที่การเดิมพันพิเศษที่มีเฉพาะในรูเล็ตอเมริกันกันบ้าง นั่นก็คือ Five Number Bet หรือการเดิมพัน 5 ตัวเลข ซึ่งจะเป็นการเดิมพันพร้อมกันในช่องเลข 0, 00, 1, 2 และ 3
ความพิเศษของ Five Number Bet คือ มันเป็นการเดิมพันที่มีอัตราการจ่ายเงินสูงสุดในรูเล็ต นั่นคือ 6:1 หรือหากเดิมพัน 100 บาท เราจะได้เงินรางวัลถึง 600 บาท หากลูกบอลไปหยุดในช่องใดช่องหนึ่งใน 5 ช่องนี้
อย่างไรก็ตาม มันก็ถือเป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดเช่นกัน เพราะมีโอกาสที่จะถูกรางวัลเพียง 13.16% (หรือ 5 ใน 38) และด้วยอัตราเปรียบเทียบของบ่อนที่สูงถึง 7.89% จึงเป็นการเดิมพันที่ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ในหมู่นักพนัน แม้จะมันจะมีอยู่ในตารางเดิมพันของรูเล็ตอเมริกันก็ตาม
สุดท้ายนี้ เรามาพูดถึงความแตกต่างสำคัญของรูเล็ตสองแบบในเชิงของโอกาสในการชนะและอัตราผลตอบแทนต่อผู้เล่น หรือ Return to Player (RTP) กัน การที่วงล้อรูเล็ตอเมริกันมีช่องเลข 00 เพิ่มเข้ามา ทำให้มันมีผลอย่างมากต่ออัตราการจ่ายผลตอบแทนโดยรวมของทุกการเดิมพัน
ในรูเล็ตยุโรป อัตราผลตอบแทนต่อผู้เล่น (RTP) ในการเดิมพันทุกรูปแบบนั้น จะอยู่ที่ 97.3% ส่วนในรูเล็ตอเมริกัน อัตรา RTP จะลดลงเหลือ 94.7% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด
จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่อัตรา RTP แตกต่างกันขนาดนี้ แต่เงินรางวัลที่จ่ายตามอัตราต่อรองในทุกการเดิมพันนั้นเท่ากันทั้งคู่ คือเริ่มตั้งแต่ 1 ต่อ 1 ไปจนถึง 35 ต่อ 1 ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว มันสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความได้เปรียบที่มากกว่าของเจ้ามือในรูเล็ตอเมริกันนั่นเอง
หากพิจารณาในระยะยาว ความแตกต่างของค่า RTP ที่ 2.6% นี้ ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากในเชิงสถิติ โดยในทุกๆ การเดิมพัน 1,000 บาท ในรูเล็ตอเมริกัน ผู้เล่นจะมีโอกาสเสีย 53 บาท ในขณะที่รูเล็ตยุโรปจะเสียเพียง 27 บาท ซึ่งแม้จะดูไม่ได้แตกต่างกันมากในระยะสั้น แต่มันจะส่งผลอย่างหนักหากเล่นบ่อยๆ หรือเล่นด้วยเงินจำนวนมาก